ดิ อะเมซิ่ง เรซ 17 (อังกฤษ: The Amazing Race 17) เป็นฤดูกาลที่ 17 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ซีบีเอสประกาศการทำรายการฤดูกาลที่ 17 ออกมาในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553 ใบสมัครถูกแจกจ่ายออกมาในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 คัดตัวรอบแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 และจะมีการคัดตัวครั้งสุดท้ายรวบถึงการไปเยือนสถานที่ต่างๆ ในเดือนเดียวกัน โดยมีกำหนดการถ่ายทำในช่วงเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. 2553
คู่คุณหมอ แนทกับแคท เป็นทีมที่ชนะในฤดูกาลนี้ไปและจะนำเงินรางวัลที่ได้ไปเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กเรียนดีที่ขาดแคลน รวมถึงทำให้พวกเธอกลายเป็นทีมหญิงล้วนทีมแรกที่ชนะรายการนี้ในเวอร์ชันอเมริกา หลังจาก 16 ฤดูกาลผ่านมาที่ไม่เคยมีทีมหญิงล้วนชนะรายการนี้เลย
ฤดูกาลนี้ได้เพิ่ม Express Pass (บัตรผ่านเร่งด่วน) ซึ่งจะทำให้ทีมที่ใช้สามารถข้ามภารกิจใดๆ ก็ได้ไม่ว่าจะเป็น ทางเลือก อุปสรรค งานเพิ่มเติม หรือแม้แต่ภารกิจเสริมต่างๆ ได้ 1 ครั้งโดยจะมอบบัตรผ่านนี้ให้กับทีมที่เข้ามาถึงจุดพักในเลกที่ 1 และสามารถใช้บัตรผ่านนี้ได้จนถึงเลกที่ 8 ของการแข่งขัน ข้อได้เปรียบนี้ถือว่ามีผลอย่างยิ่งเนื่องจากสามารถใช้เมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องทำภารกิจใดๆ เลยเพื่อให้ได้มา ต่างจาก Fast Forward (ทางด่วน) ที่ต้องทำภารกิจอย่างน้อย 1 อย่างก่อนจะข้ามภารกิจทั้งหมดใน 1 เลก
ฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่จะถ่ายทำให้ระบบโทรทัศน์ความละเอียดมาตรฐาน โดยในฤดูกาลถัดไปจะเริ่มถ่ายทำในระบบโทรทัศน์ความละเอียดสูง
ใบสมัครถูกแจกจ่ายออกมาในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 รอบคัดเลือกมีขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมและจัดการการคัดเลือกครั้งสุดท้ายที่ลอสแอนเจลิส จาก 11 ทีมที่ถูกเลือกเข้าเป็นผู้แข่งขันนั้นก็ได้เริ่มการถ่ายทำในเดือนพฤษภาคม ผู้เข้าแข่งขันประกอบไปด้วย พิธีกรรายการช๊อปปิ้ง, นักโพสต์วิดีโอให้ความบันเทิงบนยูทูป เคลวิน วู ที่รู้จักกันในนาม เควจัมบ้า ซึ่งมาพร้อมกับ ไมเคิล พ่อของเขา, นักร้องประสานเสียงของสมาคมนักศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยไอวีลีก และคู่แม่ผู้ให้กำเนิดกับลูกที่ห่างหายกันไปนานกว่า 20 ปี โดยฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกของรายการที่ไม่มีคู่สมรสเลย รวมไปถึงยังมีผู้เคยผ่านการประกวดนางงามมาด้วย 3 คน คือ มอลลารี่ ที่ได้อันดับที่ 5 ในการประกวดมิสอเมริกา ปี 2553, บรู๊ค ซึ่งเข้าประกวดมิสอเมริกา ปี 2548 และ สเตฟานี่ ซึ่งเคยเป็นมิส เซ้า คาร์โรไลน่า ปี 2552
ตารางแสดงชื่อ ความสัมพันธ์ของผู้แข่งขันในขณะถ่ายทำของแต่ละทีมพร้อมทั้งแสดงสถานะในการแข่งขัน ดังนี้ (ตารางนี้อาจไม่ได้แสดงข้อมูลที่ตรงกับข้อมูลที่ออกอากาศในโทรทัศน์เนื่องจากข้อมูลที่เพิ่มเข้ามาบางส่วน หรือข้อมูลที่ถูกนำออกไปบางส่วน)
หมายเหตุ 1: ไม่ได้ออกอากาศทางโทรทัศน์ว่ารอนทำอุปสรรคในเลก 1 แต่ได้แพร่ภาพไว้ที่เว็บไซด์ของซีบ๊เอสหมายเหตุ 2: นิคกับวิกกี้ ไม่ได้ทำภารกิจงานเพิ่มเติมภายในเลกนี้ เนื่องจากในเลกที่แล้วได้เกิดความผิดพลาดขึ้นสำหรับการถ่ายทำ ภารกิจทางแยก ที่ให้ทีมฟังเพลง สืบเนื่องมาจากว่า ทีมได้ทำงานถูกต้องแล้วแต่ผู้ตรวจสอบนั้นตรวจสอบไม่ละเอียดและบอกว่าทำงานไม่ถูกต้อง ทำให้ทีมกลับไปงานนานอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งตามเป็นจริง นิคกับวิกกี้อาจไม่ได้เข้ามาจุดพักเป็นทีมสุดท้ายด้วยซ้ำและลำดับอาจจะสลับที่กันกับทีมอื่น จึงมีการชดเชยเวลาโดยประมาณให้นิคกับวิกกี้และในเลกถัดไปก็ไม่ได้แสดงเวลาตอนออกตัวของแต่ละทีมให้ผู้ชมเห็นด้วย โดยถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดของรายการตั้งแต่มีมาโดยเกิดจากผู้ตรวจสอบงานในภารกิจ "ทางแยก"หมายเหตุ 3: เดิมทีแล้ว แชดกับสเตฟานี่มาถึงเป็นลำดับที่ 6 แต่พวกเขายังไม่ได้จ่ายค่าแท็กซี่ ฟิลจึงบอกพวกเขาให้กลับไปจ่ายเงิน ระหว่างนั้น ไมเคิลกับเคลวินก็เข้ามายังจุดหยุดพัก แต่ก็ถูกปรับเวลา 30 นาที 2 ครั้ง เนื่องจากให้แท็กซี่นำทางไปยังอาคารวลาดีมีร์สกี้ โพรสเปฟและนั่งแท็กซี่จากอาคารวลาดีมีร์สกี้ โพรสเปฟ ไปยังโบสถ์แห่งหยดเลือด ระหว่างที่ไมเคิลกับเคลวินรอเวลาอยู่ภายนอกนั้น แชดกับสเตฟานี่ก็มายังจุดหยุดพัก แต่ก็ถูกปรับเวลา 30 นาทีเช่นกัน เนื่องจากนั่งแท็กซี่จากอาคารวลาดีมีร์สกี้ โพรสเปฟ ไปยังโบสถ์แห่งหยดเลือด เพราะว่าเวลาปรับโทษของไมเคิลกับเคลวินยาวกว่า แชดกับสเตฟานี่จึงสามารถเข้าจุดหยุดพักได้ในลำดับที่ 6 และเวลาปรับโทษจะไปทดกับช่วงต้นของเลกหน้าแทน ซึ่งทำให้ไมเคิลกับเคลวินถูกคัดออกหมายเหตุ 4: แชดกับสเตฟานี่ ออกจากจุดพักช้าไป 2 ชั่วโมงเนื่องจากหลับมากเกินไปและไม่ดูเวลาหมายเหตุ 5: แชดขอสเตฟานี่แต่งงาน ซึ่งเธอยอมรับ ทำให้สถานะความสัมพันธ์เปลี่ยนจากคู่เดทคู่ใหม่ เป็นคู่หมั้น ในเลกที่ 8 เป็นต้นไปซึ่งเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์รายการนี้ที่สถานะความสัมพันธ์ของผู้เข้าแข่งขันได้มีการเปลี่ยนระหว่างรายการและในขณะที่รายการกำลังออกอากาศอยู่นี้ แชดกับสเตฟานี่ได้แต่งงานกัน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 และสเฟตานี่ตั้งท้องแล้วคาดว่าลูกทารกจะคลอดในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554หมายเหตุ 6: เดิมทีแล้ว จิลกับโทมัสมาถึงเป็นลำดับที่ 1 แต่ถูกปรับเวลา 30 นาที เนื่องจากให้แท็กซี่นำทางไปยังปราสาทอัล อาลาม โดยแชดกับสเตฟานี่เข้าจุดหยุดพักขณะที่พวกเขาถูกปรับเวลา ทำให้พวกเขาตกลงมาเป็นลำดับที่ 2หมายเหตุ 7: นิคกับวิกกี้ตัดสินใจที่จะไม่ทำภารกิจ ทางแยก และเข้าจุดพักโดยที่ไม่ได้ทำงานนี้แต่เนื่องจากเป็นเลกที่ไม่มีการคัดออก ทั้งคู่จึงถูกปรับเวลา 6 ชั่วโมงและเวลาที่ถูกปรับจะไปทดในต้นของเลกที่ 11 แทน (ปกติถ้าไม่ทำภารกิจ ทางแยก จะถูกปรับ 24 ชั่วโมงแต่ในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทางรายการได้ปรับลดลงมาเหลือแค่ 6 ชั่วโมงและมีการไม่ทำภารกิจทางแยกเคยเกิดขึ้นมาแล้วเพียงแค่ 2 ครั้งในฤดูกาลที่ 1 กับ 15 ซึ่งถูกปรับ 24 ชั่วโมงและตกรอบทันที)หมายเหตุ 8: เดิมทีแล้ว บรู๊คกับแคลร์มาถึงเป็นลำดับที่ 1 แต่ถูกปรับเวลา 30 นาที เนื่องจากใช้แท็กซี่เดินทาง แทนที่จะเป็นการเดินหรือรถไฟใต้ดินตามที่คำใบ้บอกไว้ไปยังสถานที่ภารกิจทางแยก โดยจิลกับโทมัสเข้าจุดหยุดพักขณะที่พวกเขาถูกปรับเวลา ทำให้พวกเขาตกลงมาเป็นลำดับที่ 2หมายเหตุ 9: นิคกับวิกกี้ ล้าหลังอยู่มาก เมื่อทุกทีมเข้าจุดพักเรียบร้อยแล้ว พวกเขาพึ่งจะมาถึงที่สนามบิน จึงเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องตกรอบและพวกเขาก็ไม่ได้ทำภารกิจใดๆ นอกจาก งานทางแยก และ งานเพิ่มเติม เท่านั้น เนื่องจากเป็นเวลาค่ำแล้วและอันตรายมาก ทีมงานจึงให้พวกเขาเข้าจุดพักและคัดออกโดยทันที ซึ่งในการออกอากาศนั้นได้ออกอากาศเพียงว่าพวกเขาทำแค่งานเพิ่มเติมอย่างเดียวและไม่ได้ออกอากาศงานทางแยกแต่อย่างใด
ในบางเลก ทางรายการจะมีรางวัลให้กับผู้เข้าแข่งขัน ที่สามารถเข้าเส้นชัยได้เป็นทีมแรก สำหรับแพ็กเกจทัวร์ทั้งหมดสนับสนุนโดยแทรเวโลซิตี้
ซีบีเอสได้โพสต์วีดีโอขนาดสั้นลงบนเว็บไซด์หลังจากออกอากาศตอนนั้นๆ จบแล้วเพื่อให้ดูว่าทีมที่ถูกคัดออกไปแล้ว จะทำอะไรบ้างขณะที่อยู่ที่บ้านพัก โดยฤดูกาลนี้ทีมที่ถูกคัดออกจะถูกส่งไปยังบ้านพักที่ประเทศเม็กซิโก
อุปสรรคแรกของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ 17 นั้นสมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องขี่หลังม้าไปยังลานประลอง แล้วใช้หนังสติ๊กขนาดใหญ่ เพื่อให้แตงโมไปโดนอัศวินชุดเกราะที่อยู่ห่างออกไป 50 ฟุต (15 เมตร) ให้ล้ม เมื่อสมาชิกสามารถทำให้อัศวินล้มได้ ทีมจะค้นหาตัวตลกเพื่อรับคำใบ้ต่อไป
สำหรับอุปสรรคของเลกนี้ สมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องขายแว่นกันแดดภายในตลาดมะโคล่าให้ได้จำนวนเงิน 15 เซดี (ประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐ) โดยทีมจะต้องขายแว่นกันแดดอันหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 3 เซดี เมื่อทีมได้จำนวนเงินครบแล้ว ทีมจะต้องนำเงินมาแลกกับเจ้าของร้านเพื่อรับคำใบ้ต่อไป ส่วนทางแยกของเลกนี้ ทีมจะต้องเลือกระหว่างปรับเข้าที่ (Tune In) กับตรวจสอบให้ (Check Out) โดยทีมที่เลือกปรับเข้าที่ จะต้องค้นหาร้าน Adom Electricials ที่ตั้งอยู่บนถนนติชิ มิถุนายนที่ 4 เพื่อนำสายไฟ แว่นและเสาอากาศไปติดตั้งให้กับบ้านที่มีป้ายสัเหลือง-แดงแปะอยู่ ซึ่งทีมจะต้องติดตั้งเสาอากาศให้กับบ้านหลังนั้น เมื่อเจ้าของบ้านรู้สึกพึงพอใจแล้ว เขาจะมอบคำใบ้ต่อไปแก่ทีม ส่วนทีมที่เลือกตรวจสอบให้นั้น จะต้องเดินทางไปยังร้านไม้ Emmanuel เพื่อนำรถเข็นบรรทุกโลงศพแฟนซีไปส่งให้กับโชว์รูมที่อยู่อีกฟากของเมือง เมื่อทีมขนส่งโลงศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไป
สำหรับอุปสรรคของเลกนี้ สมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องออกกำลังกายโดยชกมวย โดยเริ่มจากเลือกคู่ฝึก แล้วฝึกฝนการพันฝ่ามือโดยยางอย่างเหมาะสมและให้ถูกต้อง จากนั้นจึงสวมนวมแล้วชกกระสอบมวยและกระโดดเชิอกอย่างละ 60 วินาทีแล้วทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไป ส่วนทางแยกของเลกนี้ ทีมจะต้องเลือกระหว่างส่วนจักรยาน (Bicycle Parts) หรือศิลปะภาษา (Language Arts) โดยทีมที่เลือกส่วนจักรยาน จะต้องใช่แท่งไม้ตีวงขอบล้อจักรยาน (คล้ายการละเล่นตีลูกล้อหรือเหล้นวงล้อของชาวล้านนาในไทย) ให้ผ่านทั้ง 2 รอบของความยาวสนามฟุตบอลให้ได้ เมื่อสมาชิกทั้งสองทีมสามารถตีให้กลิ้งข้ามได้ ทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไปจากกลุ่มนักเรียน แต่ถ้าทีมทำให้ล้อหล่นระหว่างทาง จะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ ส่วนทีมที่เลือกศิลปะภาษา จะต้องเลือกแผ่นกระดาษสำนวน ที่มีคำ 8 คำถูกไฮไลท์อยู่ จากนั้นจึงเปรียบเทียบสำนวนกับสัญลักษณ์อดินกราที่อยู่บนกำแพงขนาดใหญ่ (คล้ายกับเกมหาคำ) แล้วตรวจสอบการเรียงลำดับบนกำแพงอีกฝั่ง ถ้าทีมพบรูปแบบการเรียงที่ตรงกับสำนวน ทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไปจากนักเรียน
สำหรับงานเพิ่มเติมของไมเคิลกับเคลวินนั้น พวกเขาจะต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ ที่ทำมาจากน้ำแข็งภายในโรงแรมน้ำแข็งในระยะเวลา 10 นาที เมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะสามารถแข่งขันต่อไปได้และรับคำใบ้ต่อไป ส่วนอุปสรรคของเลกนี้ สมาชิกที่ทำอุปสรรค จะต้องเลือกทีมสุนัขลากเลื่อน และผูกพวกมันไว้กับรถลากเลื่อนหิมะฝึกฝนฤดูร้อน จากนั้นจากทำการเก็บธงที่แตกต่างให้ได้จำนวน 5 ธงในสนาม เพื่อจะได้นำหนังสัตว์ฟลอร์ไปแลกกับคำใบ้ต่อไป แต่ถ้าสมาชิกไม่สามารถเก็บธงครบได้ สมาชิกจะถูกปรับเวลาโดยลากเลื่อนรอบสนามอีกตามจำนวนธงที่ไม่ได้คว้ามา และทางแยกของเลกนี้ ทีมจะต้องเลือกระหว่างรถเลื่อน (Sled) กับเตียงนอน (Bed) โดยทีมที่เลือกรถเลื่อนนั้น จะต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้า เพื่อขึ้นไปบนยอดภูเขา แล้วขับขี่รถลากเลื่อนหิมะเทค ลงมาตามภูเขาและผ่านอุปสรรคต่างๆ แล้วเข้าเส้นชัย ภายใน 1 นาที 58 วินาที ทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไป แต่ถ้าทีมไม่สามารถเข้าสู่เส้นชัยภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ ทีมจะต้องกลับไปทำใหม่อีกรอบ ส่วนทีมที่เลือกเตียงนอนนั้น ทีมจะต้องสร้างที่อยู่อาศัยแบบชาวซามิพื้นฐาน ที่รู้จักกันดีในชื่อว่าโกธติ โดยใช้ไม้เบิร์ชทรงโค้งเพิ่มพื้นที่เต็นท์ จากนั้นจึงตกแต่งภายในกระโจมด้วยขนฟลอร์และกองผิงไฟ โดยผู้อาวุโสของชาวซามิจะมอบคำใบ้ต่อไปให้แก่ทีม เมื่อโกธติถูกสร้างจนเสร็จ และตกแต่งได้ถูกใจพวกเขา
ในงานทางด่วนนี้ทีมจะต้องช่วยกันกินหัวแกะอย่างหมดจด ยกเว้นกระดูกเท่านั้นให้หมดก่อนที่จะได้คำใบ้ถัดไป งานอุสรรคในเลกนี้สมาชิกคนหนึ่งของทีมต้องห้อยตัวลงไปอยู่เหนือน้ำใต้สะพานสโจเมนและส่งสัญญาณให้เรือ 1 ใน 2 ลำที่รออยู่ด้านล่างเอาคำใบ้ถัดไปมาให้ หลังจากได้คำใบ้จะต้องปีนขึ้นมาบนสะพานด้วยระยะทาง 130 ฟุตก่อนที่จะสามารถเปิดอ่านคำใบ้ต่อไปได้ งานทางแยกในเลกนี้ทีมจะต้องเลือกระหว่าง ปั่น (Bike) หรือ เรือ (Boat) ทีมที่เลือกปั่นจะต้องเลือกที่ล็อกจักรยานสีใดสีหนึ่งมาก 1 อันและปั่นจักรยานไปตามทางขรุขระที่กำหนดไว้ เมื่อไปถึงที่หมายจะมีบอร์ดอยู่ ซึ่งบนบอร์ดจะบอกรหัสไว้ โดยให้ทีมจำรหัสบนบอร์ดที่ตรงกับสีของที่ล็อกจักรยานที่ตนเองเลือกไว้ หลังจากนั้นให้ขี่จักรยานกลับไปที่จุดเริ่มต้นและใช้ตัวเลขรหัสปลดล็อกที่ล็อกจักรยานที่ตรงกับสีที่เลือกไว้ โดยคำใบ้ถัดไปจะอยู่ในนั้น ส่วนทีมที่เลือกเรือจะต้องใช้แผนที่เดินเรือนำทางไปยังตำแหน่งระบุไว้และจะต้องเดินไปส่งปลาคอดขนาดใหญ่ 2 ตัวกับเลื่อยไฟฟ้า 1 อันที่บ้านของชาวประมง ก่อนที่จะได้รับคำใบ้ถัดไป
สำหรับทางแยกของเลกนี้ ทีมจะต้องเลือกระหว่างดนตรีคลาสลิก (Classical Music) กับภาพยนตร์คลาสลิก (Classical Cinema) โดยทีมที่เลือกดนตรีคลาสลิก จะต้องเดินทางไปยังปราสาทเบโลเซลสกี้-เบโลเซอร์สกี้ แล้วฟังท่อนของเพลงจากแกรมโมโฟนที่มีหมายเลขแปะอยู่ทั้งสามเครื่องได้แก่ 1. เพลง Pictures at an Exhibition ของโมเดสท์ เปโตรวิช มูสซอคสกี้, 2.เพลง Scheherazade ของนิโคไล ริมสกี-คอร์ซาคอฟ และ 3.เพลง Troika ของปีเตอร์ อิลิช ไชคอฟสกี จากนั้นทีมจะต้องเข้าไปในหอการแสดงดนตรี ที่เต็มไปด้วยนักเปียโนที่กำลังบรรเลงเพลงที่ถูกประพันธ์ขึ้นที่แตกต่างกันไป โดยจะต้องหยิบแผ่นสำเนาของชีทเนื้อเพลงนั้นๆ ที่วางบนที่เปียโนของนักเปียโนที่บรรเลงเพลงที่ตรงกับที่ทีมฟังมาจากแกรมโมโฟน และทีมต้องเรียงชีทเพลงให้ถูกต้องตามลำดับหมายเลข จึงจะได้รับคำใบ้ต่อไปจากผู้ควบคุมดนตรี ส่วนทีมที่เลือกภาพยนตร์คลาสลิก จะต้องเดินทางไปยังห้องสตูดิโอที่ 4 ในเลนฟิล์ม เพื่อค้นหาฟิล์มภาพยนตร์ที่ตรงกับภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่บนจอ (เรื่อง October: Ten Days That Shook the World กำกับโดย เซอร์ไก ไอเซนสไตน์ เมื่อปีค.ศ. 1927) จากฟิล์มภาพยนตร์หลายร้อยอันที่เกลื่อนกลาดอยู่รอบๆ เมื่อทีมนำฟิล์มภาพยนตร์ที่ถูกต้องไปมอบให้กับผู้ฉายภาพ แล้วเขาจะมอบคำใบ้ต่อไปแก่ทีม ส่วนอุปสรรคของเลกนี้ สมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องแต่งตัวเหมือนกับชาวพื้นเมืองบาบุชกา แล้วหยิบถุงที่บรรจุเมล็ดมันฝรั่ง 50 เม็ด แล้วเข็นรถเข็นล้อเดียวที่ใส่มูลวัว แล้วชาวบาบุชกาจะแสดงให้ทีมดูถึงวิธีการที่ปลูกมันฝรั่งอย่างเหมาะสม และเธอจะมอบคำใบ้ต่อไปแก่ทีม เมื่อทีมปลูกมันฝรั่งได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
สำหรับทางแยกของเลกนี้ ทีมจะต้องเลือกระหว่างวงดนตรีละครสัตว์ (Circus Band) กับตัวตลกละครสัตว์ (Circus Clown) โดยทีมที่เลือกวงดนตรีละครสัตว์ จะต้องเรียนรู้วิธีการเล่นเพลงพื้นเมืองของรัสเซียโดยใช้แอกคอร์เดียน เมื่อทีมสามารถเล่นดนตรีได้อย่างถูกต้องแล้ว หัวหน้าวงดนตรีจะมอบคำใบ้ต่อไปแก่ทีม ส่วนทีมที่เลือกตัวละครละครสัตว์ จะต้องเรียนรู้วิธีการหมุนจานโดยไม่ให้หล่น 10 ใบจากตัวตลก เมื่อทีมสามารถบังคับให้จานหมุนบนไม้ทั้ง 10 ใบเกิน 10 วินาทีขึ้นไป ตัวตลกจะมอบคำใบ้ต่อไปแก่ทีม ส่วนอุปสรรคของเลกนี้ สมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องเล่นการละเล่นของรัสเซียที่เรียกว่าโกโรดกิ ที่คล้ายกับโบว์ลิ่ง โดยใช้สมาชิกโยนไม้ที่ใหญ่กว่าให้โดนฐานไม้บล็อกที่ตั้งอยู่ เมื่อสมาชิกสามารถเล่นได้ครบทั้งสามด่านแล้ว ทีมจะได้รับคำใบ้ที่บอกให้ไปเข้าจุดหยุดพัก ที่อยู่ด้านในป้อมปราการปีเตอร์และพอล
ในอุปสรรคของเลกนี้ สมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องโรยตัวลงมาจากทิวเขาของขุนเขาแห่งดวงอาทิตย์เป็นระยะทาง 500 ฟุต (150 ฟุต) เพื่อค้นหา 1 ในหลายร้อยตะเกียงน้ำมันที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ซึ่งมีแหวนวิเศษของอะลาดินอยู่ภายใน เมื่อสมาชิกค้นหาเจอแล้ว สมาชิกจะต้องนำตะเกียงพร้อมแหวนไปแลกกับคำใบ้ต่อไป ส่วนทางแยกของเลกนี้ ทีมจะต้องเลือกระหว่างบัญชีน้ำ (Water Table) กับบัญชีแต่งงาน (Wedding Table) โดยทีมที่เลือกบัญชีน้ำ จะต้องปั๊มน้ำจำนวนหนึ่งขึ้นไปในรถขนส่งน้ำ แล้วขับรถส่งน้ำกลับเข้าไปในเมือง เพื่อขนส่งน้ำให้กับบ้านที่มีสัญลักษณ์แปะอยู่ ซึ่งอยู่ในแถบบริวเณแอสวัน อัล อิลโต เมื่อทีมส่งถ่ายน้ำให้เรียบร้อยแล้ว ทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไปจากคนขับรถ ส่วนทีมที่เลือกบัญชีแต่งงาน จะต้องเดินทางไปยังตลาดอาหรับ เพื่อซื้อไก่จำนวน 25 ตัวและเครื่องเทศอีกหลายอย่าง เพื่อทำอาหารท้องถิ่นของโอมานที่เรียกว่า "มาคบุชส์" แล้วทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไปจากคู่บ่าวสาว
ในทางแยกของเลกนี้ ทีมจะต้องเลือกระหว่างสมดุลอาหาร (Balanced Meal) กับสมดุลอิฐ (Balanced Bricks) โดยทีมที่เลือกสมดุลอาหาร จะต้องหยิบปิ่นโตใส่อาหารจำนวน 30 เถาขึ้นไปบนเรือ และขนส่งไปยังเรือที่มีคนงานทำงานอยู่ ก่อนที่จะให้สมาชิกคนหนึ่งเข้าไปบนเรือเพื่อให้สมาชิกอีกคนส่งปิ่นโตขึ้นไปโดนใช้เชือกผูก เมื่อทีมส่งอาหารขึ้นไปบนเรือแล้ว ทีมจะต้องนำปื่นโตเปล่า 10 เถากลับมาเพื่อแลกกับคำใบ้ต่อไป ส่วนทีมที่เลือกสมดุลอิฐ จะต้องเดินทางไปยังเรือบรรทุกเรือ และขนส่งไปยังตลาด โดยใช้ตะกร้าบนศีรษะบรรทุกไป เมื่อทีมสามารถขนส่งก้อนอิฐที่ไม่แตกได้ 100 ก้อนแล้ว ทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไป ส่วนอุปสรรคของเลกนี้ สมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องประกอบรถลากสามล้อให้อย่างเหมาะสม ประกอบไปด้วยล้อหน้ากับล้อหลัง, เบาะที่นั่ง, กระแชง, กระดิ่ง, พู่ห้อย, คันเหยียบ เบาะหลังและโซ่ เมื่อทีมต่อได้อย่างถูกต้องและใช้วัสดุทุกอย่างที่ให้มาแล้ว ทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไป
สำหรับอุปสรรคของเลกนี้ สมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องใช้ตะเกียบ เพื่อค้นหาหนึ่งในห้าชิ้นของอาหารปลอม ที่ปกติใช้เพื่อตั้งโชว์หน้าร้าน ท่ามกลางอาหารบุฟเฟ่ต์หลากหลายจาน แต่ถ้าสมาชิกคีบชิ้นอาหารจริงขึ้นมา สมาชิกจะต้องรับประทานอาหารชิ้นนั้นก่อนที่จะค้นหาต่อไป เมื่อสมาชิกคีบเจออาหารปลอมแล้ว ทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไปจากพ่อครัว และทางแยกของเลกนี้ ทีมจะต้องเลือกระหว่างรถเมล์ (Ding Ding) กับเรือเมล์ (Sampan) โดยทีมที่เลือกรถเมล์ จะต้องนั่งรถรางของฮ่องกง ที่รู้จักกันในชื่อว่า "ดิงดิง" เพื่อมองหาป้ายสามป้ายได้แก่ "Pit Stop" (จุดหยุดพัก), "Statue" (สแตคชู) และ "Square" (จัตุรัส) ที่เปิดเปยถึงสถานที่ที่เป็นจุดหยุดพักของเลกนี้ ท่ามกลางป้ายไฟหลากหลายมากมายของฮ่องกง ส่วนทีมที่เลือกเรือเมล์นั้น จะต้องเดินทางไปยังท่าเรือจัมโบ้ คิงดอม เพื่อรับกรงนกที่บรรจุนกหงส์หยกสองตัวอยู่ แล้วมองหาท่าเรืออาเบอร์ดีน สำหรับเรือที่มีหมายเลขที่ตรงกับหมายเลขที่ผูกอยู่กับกรงนก เมื่อทีมหาเรือเจอแล้ว ทีมจะต้องแลกกรงนกกับคำใบ้ที่บอกถึงสถานที่อันเป็นจุดหยุดพัก
ในอุปสรรคด่านนี้ ผู้เล่นหนึ่งคนในทีมจะต้องไปเลือกผ้าโพกหัวมา 1 ลายและหาทหารที่กำลังฝึกท่าชกต่อยที่มีผ้าโพกหัวอยู่จำนวน 200 คน ซึ่งต้องหาให้ตรงกับลายที่ตนได้เลือกไว้ หากส่งให้ผิดคนจะต้องกลับไปเลือกผ้าลายใหม่ ถ้าได้ผ้าโพกหัวตรงกับที่ต้องการแล้ว ทหารจะกระโดดเตะแผ่นไม้แล้วคำใบ้ต่อไปที่อยู่ภายในจะหล่นออกมา ในภารกิจทางแยกทีมจะต้องเลือกระหว่าง ส่งโสม (Full Bottle) หรือ เล่นเสก็ต (Full Throttle) ใน เล่นเสก็ต ทีมจะต้องไปที่สนามกีฬาน้ำแข็งมองกอง (?? ?????) และจะต้องเล่นเสก็ตวนรอบทั้งสองคนรวมกันให้ได้ 24 รอบก่อนที่จะได้คำใบต่อไป ใน ส่งโสม ทีมจะต้องขนโหลโสมขนาดใหญ่จำนวน 6 โหลโดยที่น้ำดองโสมจะต้องไม่หก เมื่อครบตามทีกำหนดทีมจะต้องดื่มน้ำโสมคนละ 1 ถ้วยก่อนที่เภสัชกรจะให้คำใบ้ต่อไป สำหรับงานเพิ่มเติม นิคกับวิกกี้ จะต้องล้างรถถังทหารโดยมีอุปกรณ์ต่างๆ เตรียมไว้ให้ในสถานีใกล้ๆ กับค่ายทหาร
สำหรับอุปสรรคสุดท้ายของรายการนี้ สมาชิกที่ทำอุปสรรคจะต้องตกแต่งขบวนพาเหรด 3 ส่วน ได้แก่บริเวณฐาน, บริเวณล้อและทาสีตกแต่งรูปปั้นดอกกุหลาบสำหรับการแข่งขันโรสพาเหรด โดยใช้ดอกเก๊กฮวยและกุหลาบ และจุ่มน้ำให้กับดอกไม้ด้วย เมื่อผลงานเป็นที่น่าพึงพอใจของนักจัดดอกไม้แล้วทีมจะได้รับคำใบ้ต่อไปจากคอร์ทนี่ ลี ราชินีดอกกุหลาบปี 2009